ศัตรูชีวิต อย่าคิดละเลย อาการปวดหลังดูผิวเผินเหมือนจะเล็กน้อยแต่สามารถส่งผลเสียได้อย่างมหาศาลต่อร่างกาย แม้มีอาการปวดในบริเวณที่แตกต่างกันแต่ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ อาจทำให้ปวดร้าวไปยังบริเวณอื่นจนในที่สุดกลายเป็นโรคแทรกซ้อนจากอาการปวดเรื้อรังได้ รีบเช็คด่วนปวดแบบนี้เสี่ยงเป็นอะไร พร้อมวิธีรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด
อาการปวดหลังมักเกิดกับ 4 บริเวณนี้
อาการปวดของหลังนั้นสามารถเกิดขึ้นได้หลายตำแหน่ง โดยมีสาเหตุแต่ละจุดแตกต่างกันไปและสามารถบ่งบอกความผิดปกติของบริเวณที่ปวดอยู่ได้ ดังนี้
- ปวดบริเวณส่วนบน เป็นอาการปวดที่เกิดจากพฤติกรรมการสะพายกระเป๋าหนัก ๆ บนไหล่ข้างใดข้างหนึ่ง และอีกสาเหตุ คือ การก้มเล่นโทรศัพท์เป็นเวลานาน ส่งผลทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่ มีอาการเกร็งอยู่ตลอดเวลาจนเกิดอาการปวดของหลังตามมานั่นเอง
- ปวดบริเวณส่วนล่าง อาการปวดบริเวณนี้มีสาเหตุมาจากการ ยืน นั่ง เป็นระยะเวลานาน ร่วมกับภาวะน้ำหนักตัวเกิน จนเป็นเหตุให้เกิดอาการปวดบริเวณส่วนล่าง
- ปวดบริเวณด้านขวา การปวดด้านขวาของหลัง อาจได้รับผลกระทบกระเทือนหรือผลพ่วงมาจากโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคตับ โรคนิ่วในไต โรคซีสต์ในไข่ เป็นต้น อีกทั้งการมีอิริยาบถและกิจกรรมที่ไม่เหมาะสมก็มีผลต่ออาการปวดบริเวณนี้เช่นเดียวกัน
- ปวดบริเวณด้านซ้าย ถ้ามีอาการปวดบริเวณด้านซ้ายบนของหลัง อาจเกิดจากเส้นประสาท หรือกล้ามเนื้อบริเวณนั้นได้รับความบาดเจ็บ รวมไปถึงคุณแม่ตั้งครรภ์ ผู้เป็นโรคอ้วน และบุคคลที่มีท่ายืน นั่งไม่เหมาะสมก็สามารถมีอาการปวดบริเวณนี้ได้เหมือนกัน
อาการปวดของหลังหายเองได้ แต่ทำไมถึงยังเป็นอยู่
อาการปวดธรรมดาที่ไม่ธรรมดา บางครั้งปวดแล้วหายไปเอง แต่กลับมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ อาจเป็นสัญญาณเตือนสำคัญโรคแทรกซ้อนจากอาการปวดของหลังได้ เพราะอาการปวดทั่วไปของหลังสามารถหายได้เองภายในระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ หากผู้ป่วยมีระยะเวลาการปวดหลังเรื้อรังนานกว่า 6 สัปดาห์ ร่วมกับอาการชาร้าวลงแขนและขานั้นเป็นอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา
อาการปวดหลังเรื้อรัง จุดเริ่มต้นของหมอนรองกระดูกปลิ้น
อาการปวดหลังเรื้อรังส่งผลร้ายย้อนกลับมายังกระดูกสันหลังซึ่งทำให้เกิดภาวะความไม่มั่นคงของกระดูกสันหลัง กระทบต่อการป้องกันเส้นประสาทที่ออกมาจากสมอง และเปรียบเสมือนเป็นเสาหลักบ้านที่ช่วยรับน้ำหนักตัวให้เราบิดตัวไปมาอีกด้วย ซึ่ง 2 สิ่งเหล่านี้ถือเป็นหน้าที่สำคัญของกระดูกสันหลัง ด้วยเหตุนี้เองอาการปวดเรื้อรังจากหลังจึงเป็นความทรมานที่มักมากับโรคหมอนรองกระดูกปลิ้น หรือกระดูกสันหลังเสื่อม โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการหลัก ๆ ดังนี้
- อาการปวดคอ
- ปวดหลังล่าง ร้าวลงขาหรือสะโพก
- มีปัญหาขณะก้มและการทรงตัว
- มีอาการชา และกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- มีปัญหาในการควบคุมขับถ่ายและปัสสาวะ เนื่องจากเส้นประสาทถูกกดทับนานจนกล้ามเนื้ออ่อนแรง
3 ระดับหมอนรองกระดูกปลิ้น กดทับมากไป เสี่ยงพิการ
ระยะที่ 1
มีอาการปวดหลังเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ และกลับมาปวดหนักกว่าเดิมทุกครั้งจนรบกวนการใช้ชีวิต อาการแบบนี้มักเป็นในระยะแรกเนื่องจากหมอนรองกระดูกเริ่มเสื่อม
ระยะที่ 2
ระยะนี้หมอนรองกระดูกเริ่มเคลื่อนและปลิ้นออกมาส่งผลร้ายต่อเส้นประสาท เพราะโดนกดทับ จึงทำให้มีอาการปวดบริเวณคอ หลัง ร้าวลงมือแขน หรือสะโพกขา บางรายมาพร้อมอาการชา
ระยะที่ 3
เริ่มมีอาการปวด ชา กล้ามเนื้ออ่อนแรงมากขึ้น เพราะเส้นประสาทมีความเสียหายจากการถูกกดทับเป็นเวลานาน ในระยะนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอีกต่อไป มีความอันตรายเป็นอย่างมาก เสี่ยงต่อพิการได้
พฤติกรรมเสี่ยง ! เป็นหมอนรองกระดูกปลิ้น
- ผู้ที่มีพฤติกรรมก้ม ๆ เงย ๆ อยู่เป็นประจำ เช่น แม่บ้าน เป็นต้น
- ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักตัวเกิน
- ผู้ที่สูบบุหรี่จัด เนื่องจากสารนิโคตินในบุหรี่ไม่สามารถทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงกระดูกสันหลังได้อย่างเต็มที่
- การยกของที่มีน้ำหนักมาก เป็นประจำในท่าเดิมซ้ำ ๆ
- การยืน นั่ง หรืออยู่ในท่าอิริยาบถต่าง ๆ เป็นระยะเวลานาน
- การเกิดอุบัติเหตุทางกีฬา การออกกำลังกาย หรือลื่นล้ม
ปวดหลัง รักษาด้วยวิธีไหนดี
สำหรับผู้ป่วยที่รับประทานยาเกิน 1 เดือน แต่อาการปวดยังไม่หายไปหรือยังไม่ดีขึ้น ควรพบนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญซึ่งสามารถวินิจฉัยระดับความรุ่นแรงของโรคหมอนรองกระดูกปลิ้นได้ เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพและตรงจุดในบริเวณที่มีปัญหา ด้วย 2 เครื่องมือเทคโนโลยีลดอาการปวดลงลึกระดับเซลล์
ShockWave Therapy
คลื่นกระแทก (ShockWave)
แก้อาการปวดเรื้อรังของโรครองช้ำ พังผืดเท้าอักเสบ ปวดเอ็นร้อยหวาย ด้วยการส่งคลื่นกระแทก (Shockwave) นวัตกรรมใหม่แห่งเวชศาสตร์ฟื้นฟูเข้าไปในบริเวณที่มีอาการปวด เพื่อกระตุ้นการบาดเจ็บใหม่ เร่งกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อเพื่อช่วยลดอาการปวดเรื้อรัง การอักเสบ และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด โดยหลังจากการบำบัดด้วย Shockwave อาการบาดเจ็บของผู้ป่วยส่วนใหญ่ลดลงสูงถึง 50%
บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อมัดลึกได้ทั่วตัว ด้วยกระบวนการทำงานลดปริมาณสื่อสารที่ส่งสัญญาณปวด สามารถลงลึก ตรงจุดบริเวณที่บาดเจ็บ ช่วยลดการตึงของชั้นผิวกล้ามเนื้อได้เป็นบริเวณกว้าง เร่งและกระตุ้นการซ่อมแซ่มของเนื้อเยื่อให้เกิดขึ้นใหม่
Ultrasound Therapy
คลื่นอัลตราซาวด์ (Ultrasound)
คลื่นเสียงความถี่สูง หรือคลื่นอัตลตราซาวด์ เป็นเครื่องมือรักษาบริเวณอาการปวด บาดเจ็บ และอักเสบที่อยู่ในระดับลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อและกระดูก ช่วยบรรเทาอาการปวดเข่า ลดการอักเสบของเข่า และรักษาโรคเข่าเสื่อม เพราะผลของความร้อนจากคลื่นอัลตราซาวด์ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือก ลดอาการบวม ลดอาการอักเสบ เร่งกระบวนการฟื้นฟูในบริเวณที่รักษา ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการทางการแพทย์
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเริ่มแรกสามารถรักษาได้ด้วยความร้อนระดับตื้น เพื่อลดอาการปวด อาการอักเสบ และความร้อนระดับลึก สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุ่นแรงเพื่อให้คลื่นความร้อนเข้าไปรักษาถึงระดับความลึกชั้นกล้ามเนื้อ ช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดให้อาการปวดลดน้อยลง
เครื่องกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยไฟฟ้า
(ES : Electrical Stimulation)
เพื่อคงไว้ซึ่งการทำงานของกล้ามเนื้อ
ลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ
ชะลอ ป้องกันการฝ่อลีบของกล้ามเนื้อ
เพิ่มเรียนรู้การทำงานของกล้ามเนื้อ
ลดอาการปวด